วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตเหงาจัง...ทำอย่างไรดี


ชีวิตของคุณเหงา …
เป็นเพราะกำลังรอคอยอะไรอยู่หรือเปล่า …?

รอคอย … ให้คนอื่นให้
รอคอย … ให้คนอื่นมารัก
รอคอย … ให้คนอื่นมาให้ความสำคัญ



ถ้าเราเฝ้าแต่รอคอยอย่างนั้น …
มันก็เหงาแน่นอน …
ชีวิตที่เหงา เป็นชีวิตที่คิดปรุงแต่ง
ขาดความมั่นใจ …
ลองเปลี่ยนวิธีคิดดีไหมคะ …



เปลี่ยนท่าทีของการใช้ชีวิต
ที่จะฝึกรักคนอื่นก่อนบ้าง
หยิบยื่นความสุขให้คนอื่นบ้าง …
ที่สำคัญ … ระวังจิตของผู้ให้ด้วยนะคะ
จิตที่คิดจะให้นั้นเบา จิตที่เอานั้นหนัก



ถ้ามัวแต่รอคอย … ชีวิตของเรา
ก็จะหนักอยู่ด้วยความเหงาอย่างนี้
ฝึกที่จะรัก และมีความเบาแห่งจิตในขณะให้
ความสุขที่ได้ให้ก็จะหล่อเลี้ยงชีวิตเรา
เราก็เป็นผู้ให้ที่เป็นผู้รับแล้วค่ะ




การที่เราฝึกมีชีวิต อย่างเข้าใจเจ้าตัวเหงา
ก็เท่ากับอยู่บนหนทาง แห่งสติปัญญาแล้ว

เหงาเป็นอย่างไร …?
มันเที่ยงไหม
มันคงที่หรือเปล่า
มันมาแล้วมันไปไหม
และมันมีเหงาของฉันจริงหรือ?




ที่สุดของความเหงาไม่ใช่ของของเรา
ลองภาวนากับเจ้าตัวเหงาดู
หายใจเข้ารู้ … รู้ทันเจ้าตัวเหงา
หายใจออก … ไม่อึดอัดกับเจ้าตัวเหงา
ปล่อยความเหงาออกไปจากใจ




ฝึกมีลมหายใจ แห่งสติที่มีความรู้ตัว
พร้อมที่จะมีชีวิตที่มีความสุข เป็นอิสระ เพราะรู้ทันเช่นนี้
แล้วให้มีความสุขที่ได้รักคนอื่น อย่างไม่ต้องคอยว่า …
… คนคนนั้นจะให้เราคืนหรือไม่ … อย่างไร
ชีวิตของผู้ที่มีความสุขที่ได้ให้ …



วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาค 3

--- คำถาม ---



ข้อ 11. เมื่อคุณเดินไปตามถนนแล้วชนถังขยะล้ม

1.คุณคิดว่าข้างในถังขยะใบนั้นมีอะไรอยู่?? ระหว่าง

2.ไม่มีอะไรเลยเป็นถังขยะว่างเปล่า

3.เป็นกองขยะกระจายเกลื่อนกลาดเต็มถนน

4.มีขยะที่เป็นเศษอาหาร หรือขยะสด

5.เป็นถุงดำใส่ขยะผูกไว้เรียบร้อย



ข้อ 12. คุณดูทีวีในห้องนั่งเล่น จนดึกจากนั้นคุณจึงปิดทีวีขึ้นไปนอน

เมื่อคุณเปิดประตูห้องนอน คุณเห็นงูอยู่บนเตียง คุณทำอย่างไร

1.วิ่งหนี

2.ตกใจแต่ไม่กลัวมากนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

3.ตกใจแต่ไม่กลัวมากนัก แล้วคิดหาวิธีไล่หรือให้คนมาช่วยไล่มันไป



ข้อ 13. คุณขับรถชมทิวทัศน์ริมชายหาด ซึ่งมีขึ้นเป็นระยะต้นปาล์ม

เมื่อถึงจุดที่มีวิวสวยคุณจอดรถ แล้ววาดภาพเพื่อเก็บไว้ดู

คุณจะวาดภาพต้นปาล์มทางขวามือให้มีลักษณะอย่างไร

1.สูงกว่าต้นปาล์มเดิม

2.สูงเท่ากับต้นปาล์มเดิม

3.เตี้ยกว่าต้นปาล์มเดิม



ข้อ 14. สมมติว่าคุณไปซื้อโดนัทแบบสอดไส้มาจากร้านเบเกอรี่

เมื่อกลับมาบ้านและเริ่มกิน คุณก็พบว่ามันไม่มีไส้ข้างใน

คุณจะทำยังไงกับโชคร้ายครั้งนี้?? ระหว่าง

1.เอาโดนัทที่ไม่มีไส้กลับไปเปลี่ยนที่ร้าน

2.พูดกับตัวเองว่า “มันเกิดขึ้นได้” แล้วก็กินโดนัทที่มีอยู่

3.ไม่กินโดนัทที่ซื้อมาหันไปกินอย่างอื่นแทน

4.พยายามหาอย่างอื่นมาใส่เป็นไส้แทน เพื่อให้รสชาติดีขึ้น



ข้อ 15. ถ้ามีไข่ชนิดหนึ่งอยู่ตรงหน้าคุณ คุณคิดว่ามันเป็นไข่ของอะไร?

ระหว่าง

1.ไข่งู

2.ไข่เต่า

3.ไข่ไดโนเสาร์

4.ไข่ไก่



--- เฉลย ---
..
...
....
...
..
.



ข้อ 11. การเตะถังขยะล้ม คือ บางสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่ถูกเปิดเผยให้โลกภายนอกมาเห็น

ขยะในถัง คือ สิ่งที่คุณอยากซ่อนจากสายตาของคนอื่น

1. ไม่มีอะไรเลยเป็นถังขยะว่างเปล่า : ใครตอบอย่างนี้คือพวกที่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

2. เป็นกองขยะกระจายเกลื่อนกลาดเต็มถนน :

คุณพยายามจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนตรงไปตรงมา

แต่จริงๆ แล้วคุณมีความรู้สึกที่ซ่อนเร้นภายในใจ

3. มีขยะที่เป็นเศษอาหาร หรือขยะสด :

คุณมักจะเป็นกังวลและไม่อยากให้ใครรู้ถึงเรื่องนิสัยการชอบกินของคุณ

4. เป็นถุงดำใส่ขยะผูกไว้เรียบร้อย :

คนพวกนี้ควบคุมตัวเองได้อย่างดีไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้ใครเห็น



ข้อ 12. ปฏิกิริยาของคุณเมื่อเห็นงู บ่งบอกถึงทัศนคติของคุณ

ต่อความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม

1. วิ่งหนี : คุณยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเพศตรงข้าม

กลัวที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครสักคน

2. ตกใจแต่ไม่กลัวมากนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร :

คุณไม่กลัวที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่คุณพอใจ

3. ตกใจแต่ไม่กลัวมากนัก แล้วคิดหาวิธีไล่หรือให้คนมาช่วยไล่มันไป :

คุณไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใคร และถ้าคุณคิดหาวิธีที่จะฆ่างู

แสดงว่าตอนนี้คุณคงเจอคนรักที่ถูกใจหรือคุณเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว



ข้อ 13. ความสูงของต้นปาล์ม คือความหลังฝังใจที่มีต่อคนรักเก่า

1. สูงกว่าต้นปาล์มเดิม : คุณไม่มีความผูกพันกับคนรักเก่าเหลืออยู่เลย

สภาพจิตใจของคุณฟื้นกลับคืนมาใหม่เรียบร้อย

2. สูงเท่ากับต้นปาล์มเดิม : คุณยังผูกพันและมีความทรงจำ

เฉพาะในเรื่องที่ดีกับคนรักเก่า และถ้าคุณคิดจะรักใครสักสักคน

ก็เพราะว่าคนๆ นั้นมีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกับคนรักเก่าของคุณ

3. เตี้ยกว่าต้นปาล์มเดิม : คุณไม่ลืมเรื่องราวของคนรักเก่าได้



ข้อ 14. สิ่งที่คุณเลือกในสถานการณ์นี้ แสดงถึง

บทบาทของคุณในหมู่เพื่อนๆ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

1. เอาโดนัทที่ไม่มีไส้กลับไปเปลี่ยนที่ร้าน :

คุณเป็นคนที่เพื่อนๆ สามารถพึ่งพาได้ ไม่ตกใจเมื่อสิ่งที่ไม่คาดหวังเกิดขึ้น

2. พูดกับตัวเองว่า “มันเกิดขึ้นได้” แล้วก็กินโดนัทที่มีอยู่ :

คุณไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกวนใจคุณ

โดยการยอมให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นและปล่อยให้มันเป็นไป

3. ไม่กินโดนัทที่ซื้อมาหันไปกินอย่างอื่นแทน :

เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดฝัน คุณจะรีบตัดสินใจจัดการกับมันโดยเร็วที่สุด

4. พยายามหาอย่างอื่นมาใส่เป็นไส้แทน เพื่อให้รสชาติดีขึ้น :

คุณมีความสามารถในการคิดหาวิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ๆ ได้เสมอ

และเพื่อนๆ ของคุณก็มักจะยอมรับแนวคิดของคุณด้วย



ข้อ 15. ไข่ คือสัญลักษณ์ของรุ่นต่อไปและลูกของคุณ

ไข่ที่คุณเลือกคือ ความหวังและความฝันที่คุณมีกับลูกตัวเอง

1. ไข่งู : งูคือตัวแทนของปัญญาและความร่ำรวย

ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการให้ลูกมี

2. ไข่เต่า : เต่าคือสุขภาพและอายุยืน

คุณจึงอยากให้ลูกมีสุขภาพดีและความสุขทางกายภาพ

3. ไข่ไดโนเสาร์ : คุณอยากให้ลูกโตขึ้นเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

4. ไข่ไก่ : คุณไม่ได้หวังหรือใฝ่ฝันอะไรเป็นพิเศษในตัวลูก

คุณต้องการแค่ให้ลูกมีความสุขและความปลอดภัยก็พอ

ภาค 2

--- คำถาม ---



ข้อ 6. ขณะที่คุณกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ก็มีเสียงเคาะประตู

ดังนั้น คุณมองลอดช่องประตูคุณเห็นชายแปลกหน้า ดูจากการแต่งตัว

คุณคิดว่าคงจะเป็นช่างซ่อมอะไรสักอย่าง คุณคิดว่าเขาเป็นช่างซ่อมอะไร

1. ช่างไฟ

2. ช่างประปา

3. ช่างแอร์ หรือ ช่างพัดลม

4. ช่างซ่อมโทรทัศน์ และเครื่องเสียง



ข้อ 7. สมมติว่าคุณเป็นนักร้องที่กำลังจะได้ออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นของตัวเอง

คุณอยากให้ปกเทปของคุณเป็นรูปอะไร??

1. ภาพถ่ายสถานที่หรือวิวสวยๆ

2. ภาพการ์ตูน

3. ภาพนามธรรม

4. ภาพของตัวคุณเอง



ข้อ 8. มีกระดาษอยู่ 1 แผ่น ให้คุณใช้กรรไกรตัดกระดาษออกเป็น 2 ส่วน

1. คุณจะตัดแบบใด?

2. ตัดตรงกลางแบ่งตรงๆ

3. ตัดเป็นเส้นโค้งกลับไปกลับมา

4. ตัดเป็นเส้นหยักๆแบบซิกแซก

5. ตัดเป็นเส้นโค้งมนเส้นเดียว



ข้อ 9. หากคุณต้องเลือกวิธีการฆ่าตัวตาย คุณจะเลือกวิธีใดระหว่าง??

1. ยิงตัวตาย

2. กินยานอนหลับตาย

3. แขวนคอตาย

4. กระโดดตึกตาย



ข้อ 10. ส่วนไหนของขนมเค้กที่คุณจะเลือกกิน?? ระหว่าง

1. ส่วนที่มีสตรอเบอร์รี่

2. ส่วนที่มีของตกแตงที่ทำจากพลาสติก

3. ส่วนที่มีของตกแต่งที่ทำจากน้ำตาล

4. ส่วนที่เป็นช็อกโกแลต

5. ส่วนที่มีเวเฟอร์


.
.
.
.
.
.
.
--- เฉลย ---
.
.
.
.
.
.
.
.
.




ข้อ 6. คนที่มาเคาะประตู สื่อถึงปัญหาในครอบครัว

ที่คุณพยายามไม่สนใจหรือไม่ยอมรับ

1. ช่างไฟ : ความสามัคคี หรือความอบอุ่น ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

หรือแสดงความคิดเห็นภายในครอบครัว

2. ช่างประปา : ความเข้าใจกันของคนในครอบครัว

หรือไม่ได้ให้กำลังใจในการใช้ชีวิตต่อวัน

3. ช่างแอร์ หรือ ช่างพัดลม : ปัญหาจากนอกบ้านที่มีผลต่อครอบครัวคุณ

อาจจะมาจากที่ทำงานของคนในครอบครัว หรือคนข้างบ้าน

4. ช่างซ่อมโทรทัศน์ และเครื่องเสียง : ความสนุกสนาน



ข้อ 7. รูปแบบปกเทปที่คุณเลือก คือ นิสัยที่คุณคิดว่าเป็นนิสัยที่ดีที่สุดในตัวคุณ

และต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงลักษณะนิสัยนี้ของคุณ

1. ภาพถ่ายสถานที่หรือวิวสวยๆ : คุณเห็นว่าตัวเองเป็นคนอ่อนโยนสุภาพ

2. ภาพการ์ตูน : คุณเป็นคนชอบสังคม พูดเก่ง

และทำให้คนอื่นสนุกสนานเมื่ออยู่ด้วย สนานเมื่ออยู่ด้วย

3. ภาพนามธรรม : คุณเป็นคนมีความสามารถและมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ

4. ภาพของตัวคุณเอง : คุณเป็นคนมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างสูง

จึงมักทำอะไรตามที่ตนเองมั่นใจว่าถูกต้องและทำอย่างจริงใจตรงไปตรงมา



ข้อ 8. วิธีการตัดกระดาษของคุณ

แสดงถึงวิธีที่คุณจะใช้ในการตัดสัมพันธ์กับคนรัก

1. ตัดตรงกลางแบ่งตรงๆ : ตัดตรงกลางแบ่งตรงๆ เป็น 2 ส่วน

คุณเป็นคนเด็ดขาดที่สามารถจบความสัมพันธ์ได้ทันที ไม่มีการเสียใจ

2. ตัดเป็นเส้นโค้งกลับไปกลับมา : ตัดเป็นเส้นโค้งกลับไปกลับมา

คุณเป็นคนไม่มีความเด็ดขาดในการตัดความสัมพันธ์

3. ตัดเป็นเส้นหยักๆ แบบซิกแซก : ตัดเป็นเส้นหยักๆแบบซิกแซก

คุณใช้วิธีการรุนแรงในการตัดสายสัมพันธ์ให้ขาดสะบั้น

4. ตัดเป็นเส้นโค้งมนเส้นเดียว : ตัดเป็นเส้นโค้งมนเส้นเดียว

คุณใช้วิธีการจบความสัมพันธ์แบบนุ่มนวล



ข้อ 9. เลือกวิธีการฆ่าตัวตายแสดงให้เห็นถึงลักษณะการใช้เงิน

1. ยิงตัวตาย : คุณเข้มงวดกับการใช้จ่ายของตัวเองและเก็บเงินเก่ง

2. กินยานอนหลับตาย : คุณเป็นคนประหยัดถึงขั้นขี้เหนียว

แต่คุณก็ไม่เคยมีเงินเก็บ

3. แขวนคอตาย : คุณเป็นคนหาเงินเก่งและมีวิธีหาเงินมากมาย

4. กระโดดตึกตาย : กระโดดตึกตาย-เป็นคนใช้เงินไม่ค่อยเป็น

ถ้ามีเงินก้อนโตในมือ ก็จะเสียเงินไปได้ง่ายๆ



ข้อ 10. ส่วนของขนมเค้กที่เลือกจะแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของคุณ

1. ส่วนที่มีสตรอเบอร์รี่ :

คุณเป็นคนที่มีศีลธรรมและจะไม่ยอมทำผิดพลาดไม่ว่ากรณีใดๆ

2. ส่วนที่มีของตกแตงที่ทำจากพลาสติก :

คุณเป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ และชอบที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจ

3. ส่วนที่มีของตกแต่งที่ทำจากน้ำตาล : คุณเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น

และชอบที่จะได้อยู่ในที่ที่มีคนแวดล้อมอยู่เสมอๆ

4. ส่วนที่เป็นช็อกโกแลต : คุณเป็นคนที่มีเหตุผล

เป็นผู้นำและรักที่จะได้ควบคุมสิ่งต่างๆ

5. ส่วนที่มีเวเฟอร์ : คุณเป็นคนโรแมนติกและมักจะใฝ่ฝันถึงการแต่งงานที่มีความสุข

จิตวิทยาทายใจ ตอน 1



--- คำถาม ---



ข้อ 1. สมมติว่าคุณเจอสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายน่ากลัวตัวหนึ่ง

1. กำลังอาละวาดพังบ้านช่องข้าวของไปทั่ว

2. คุณคิดว่าทำไมสัตว์ประหลาดตัวนั้นถึงออกอาละวาดอย่างดุร้าย??

3. มันหิวและกำลังล่าอาหาร

4. มันกำลังตามหาความรักที่หายไป

5. มันดุร้ายเพราะมันน่าเกลียดน่ากลัว

6. มันโกรธทุกอย่างในโลกนี้



ข้อ 2. ขณะที่คุณกำลังเดินชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ คุณเห็นภาพๆ หนึ่ง

และคุณหยุดพิจารณาดูภาพนั้นอยู่นาน ภาพที่คุณเห็นเป็น......

1. ภาพเหมือนจริง

2. ภาพวาดล้อเลียน

3. ภาพนามธรรม

4. ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ



ข้อ 3. ถ้าคุณมียางลบวิเศษที่สามารถลบอะไรก็ได้

1. ลบตัวคุณเอง

2. ลบคนรักของคุณ

3. ลบมือที่สาม



ข้อ 4. คุณกำลังยืนดูภาพวาดอยู่ในงานนิทรรศการศิลปะ

แล้วมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งมายืนข้างๆ คุณ แล้วพูดบางอย่างกับคุณ

คุณคิดว่าเค้าจะพูดอะไร?? ระหว่าง

1. รูปนี้สวยจังนะ

2. คุณคิดอย่างไรกับภาพนี้

3. ขอโทษครับ…กี่โมงแล้ว

4. คุณรู้ไหมผมวาดภาพนี้เอง



ข้อ 5. คุณนอนอยู่ในโรงแรมที่มีวิวเป็นท้องทะเลสีฟ้าคราม

แล้วคุณก็เคลิ้มหลับไป คุณคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมา

คุณจะเห็นวิวนอกหน้าต่างเป็นอย่างไร? ระหว่าง

1. พระอาทิตย์เที่ยงวันที่เจิดจ้าอยู่เหนือทะเล

2. ทะเลมืดครึ้มภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

3. ท้องทะเลที่ถูกปกคลุมด้วยไอหมอกเย็นๆ

4. พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า












--- เฉลย ---

......
.....
....
...
..
.

ข้อ 1. สัตว์ประหลาดเป็นตัวแทนของด้านมืดในนิสัยของคนเราทุกคน

และความโกรธของสัตว์ประหลาดก็คือสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกกดดันในชีวิต

1. มันหิวและกำลังล่าอาหาร : มันหิว คุณกำลังต่อสู้กับความอยากอาหาร

คุณอาจจะกำลังควบคุมน้ำหนักหรืออดอาหารอยู่

2. มันกำลังตามหาความรักที่หายไป : มันตามหารัก

ความรักเป็นสาเหตุของความกดดันในชีวิตคุณ

3. มันดุร้ายเพราะมันน่าเกลียดน่ากลัว : มันน่าเกลียด

คุณไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตัวเองในบางแง่มุม

4. มันโกรธทุกอย่างในโลกนี้ : มันโกรธคนทั้งโลก

คุณเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และชอบที่จะจับผิดไปซะทุกอย่าง



ข้อ 2. ภาพที่คุณเห็นเป็นการสื่อถึงเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ

1. ภาพเหมือนจริง : คุณเป็นคนมั่นใจในตัวเอง

2. ภาพวาดล้อเลียน : คุณเป็นคนพูดเก่ง สนุกสนาน

3. ภาพนามธรรม : คุณเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์

4. ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ : คุณเป็นคนสุภาพอ่อนโยน



ข้อ 3. ถ้าคุณมียางลบวิเศษที่สามารถลบอะไรก็ได้

คุณอยากจะลบอะไรมากที่สุด??

1. ลบตัวคุณเอง : คนที่เลือกลบตัวเอง-คุณเป็นประเภทหนีปัญหา

เมื่อเกิดปัญหาอะไรก็ตามขึ้นกับความรักของคุณ

2. ลบคนรักของคุณ : คนที่เลือกลบคนรัก-คุณเป็นประเภทที่ชอบความรัก

มองความรักเป็นเรื่องสวยงาม

3. ลบมือที่สาม : คนที่เลือกลบมือที่สาม-คุณเป็นประเภทลุย

ที่จะไม่ปล่อยให้ปัญหาเรื่องความรักค้างคาจนเป็นปัญหาเรื้อรัง



ข้อ 4. คำตอบที่เลือก แสดงถึง

วิธีที่คุณแสดงออกเมื่อพบใครคนหนึ่งเป็นครั้งแรก

1. รูปนี้สวยจังนะ : รูปนี้สวยจัง แสดงว่า

คุณเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเป็นมิตรกับคนอื่นได้ง่าย

2. คุณคิดอย่างไรกับภาพนี้ : คุณคิดอย่างไรกับภาพนี้ แสดงว่า

คุณเป็นคนที่คิดมากก่อนที่จะเข้าไปทำความรู้จักคนอื่น

3. ขอโทษครับ…กี่โมงแล้ว : ขอโทษครับ…กี่โมงแล้ว แสดงว่า

คุณค่อนข้างจะเก็บตัว ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการทำความรู้จักผู้อื่น

4. คุณรู้ไหมผมวาดภาพนี้เอง : คุณรู้ไหม…รูปนี้ผมวาดเอง แสดงว่า

คุณมักจะตื่นเต้นเมื่อพบใครเป็นครั้งแรก

และพยายามสร้างภาพเพื่อให้คนอื่นรู้สึกประทับใจ



ข้อ 5. วิวนอกหน้าต่างโรงแรม แสดงถึง สิ่งที่คุณต้องการจากความรัก

1. พระอาทิตย์เที่ยงวันที่เจิดจ้าอยู่เหนือทะเล :

คุณต้องการความรักที่เร่าร้อน

2. ทะเลมืดครึ้มภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว :

คุณให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ระหว่างคู่รักเป็นอย่างมาก

3. ท้องทะเลที่ถูกปกคลุมด้วยไอหมอกเย็นๆ :

คุณต้องการคนรักแบบที่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ

4. พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า :

คุณต้องการความรักที่สวยงามและสมบูรณ์แบบ

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำถามทายใจ

คำถามจิตวิทยาทายใจไขความลับ

1. คุณกำลังเดินไปตามทางเดิน แล้วเห็นอะไรอยู่รอบตัว
ก. ป่าทึบ มองขึ้นข้างบนแทบไม่เห็นท้องฟ้า
ข. ทุ่งข้าวโพดเหลืองอร่ามตัดกับสีขอบฟ้า
ค. เนินเขาสีเขียว เห็นภูเขาอยู่ลืบๆ

2. คุณเห็นอะไรตกอยู่ข้างๆ เท้า
ก. กระจก ข. แหวน ค. ขวด

3. เก็บมันขึ้นมาไหม
ก. เก็บ
ข. ไม่เก็บ

4. เดินต่อไปเจอแหล่งน้ำ แหล่งน้ำที่ว่าคือ
ก. ทะเลสาบใส
ข. น้ำตก
ค. ลำธาร

5. กุญแจที่จมอยู่ในน้ำซึ่งคุณกำลังจะเก็บขึ้นมานั้นมีลักษณะอย่างไร
ก. กุญแจบ้าน
ข. กุญแจโบราณ
ค. กุญแจล็อคเกอร์เล็กๆ

6. ต่อมาเจอะบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นเป็นบ้านแบบไหน
ก. แมนชั่นหรูแบบละแวกฮอลลีวู้ด
ข. กระท่อมพร้อมสนามหญ้า
ค. ปราสาทสวยโทรมๆ

7. แล้วทำยังไงต่อ
ก. มองเข้าไปทางหน้าต่าง
ข. เข้าไปสำรวจ
ค. ไม่สนแล้วเดินต่อไป

8. ทันใดนั้นก็มีบางอย่างกระโจนใส่ ทำให้คุณตกใจ สิ่งนั้นคือ
ก. หมี
ข. พ่อมด
ค. เหยื่อที่ใช้ตกปลา

9. ด้วยความตกใจคุณจึงวิ่งไปจนถึงกำแพงมีประตูคุณจึงมองลอดรูกุญแจก็เลยเห็น
ก. สวนเขียวขจีในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง
ข บ่อน้ำกลางทะเลทราย
ค. ชายหาดและเกลียวคลื่น





อย่าเพิ่งดูเฉลยก่อนนะ...



ทำเสร็จรึยังเอ่ย


ถ้าทำเสร็จแล้วมาดูคำตอบกัน

เฉลยคำถาม

คำถามที่ 1 ทัศนคติของคุณเกี่ยวกับตัวเอง
ก. คนอื่นมองว่าคุณเป็นคนที่น่าสนใจเพราะคุณปกปิดตัวตนที่แท้จริงเพื่อนๆรักคุณเพราะคุณเป็นนักฟังที่ดี
ข. เป็นคนฉลาด ซื่อสัตย์และน่ารักเป็นมิตรกับทุกคนและไม่ค่อยมีเรื่องกับใครแถมยังเป็นตัวแทนของความร่าเริง สนุกสนาน ใครๆจึงมักจะเข้ามาพูดคุยด้วย
ค. เป็นคนติดดิน และผู้คนเขาก็รักคุณเพราะนิสัยเป็นคนตรงๆ นี่แหละคุณคือนักไกล่เกลี่ยปัญหาเพราะคุณจะรับฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสินว่าใครถูกใครผิด

คำถามที่ 2 ลักษณะของคู่รักที่คุณมองหา
ก. แฟนคุณต้องเป็นคนที่จะร่วมชีวิตกันในอนาคต แต่คุณควรเปิดใจให้กว้างเพราะเขา/เธอที่สมบูรณ์ตามแบบของคุณ อาจไม่ค่อยมีเสน่ห ์มากนัก
ข. คุณป็นคนโรแมนติกยามรักก็จะทุ่มเทเพื่อถนอมรักไว้ให้ดีที่สุดเพราะคุณเชื่อว่ารักแท้จะคงอยู่ตลอดกาลและคุณก็อยากให้แฟน ห่วงใยดูแลคุณเสมอ
ค. คุณชอบคนที่กล้าแสดงความเก่ง ทะเยอทะยาน และ จริงจัง ฉะนั้นพวกหล่อ/สวยอย่างเดียวน่ะไม่ผ่าน

คำถามที่ 3 ความพร้อมที่จะผูกมัดกับใครซักคน
ก. ถ้าใช่ก็ได้เลย
ข. ดูใจกันไปเรื่อยดีกว่า

คำถามที่ 4 รักคุณซึมลึกขนาดไหน
ก. คุณจริงจังกับความสัมพันธ์เอามากๆ ถ้าพบคนที่ใช่คุณก็จะรักเขา/เธอคนั้นสุดหัวใจ
ข. เพศตรงข้ามคิดว่าคุณเซ็กซี่มากเพราะคุณหว่านเสน่ห์เก่งชาย/หญิงหลายขโยงจึงพากัน หลงใหลคุณ
ค. ทักษะการจีบของคุณเป็นเลิศ คุณจึงเปลี่ยนคู่ควงได้ไม่ซ้ำหน้า

คำถามที่ 5 ความสำคัญของการศึกษา
ก. การศึกษาสำคัญน้อยกว่าโลกภายนอกที่รออยู่เบื้องหน้าลึกๆแล้วคุณอาจจะอยากเริ่มทำงานและออกมาอยู่เอง
ข.การศึกษาสำคัญที่สุดคุณอยากเรียนหนักๆจะได้ซึมซับความรู้ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ค. คุณอาจจะไม่ชอบเรียน แต่มีความคิดดีๆมากมายคุณเชื่อสัตชาตญาณและสมองของตัวเองฉะนั้นคุณอาจลงเอยด้วย อาชีพที่ไม่เหมือนใคร

คำถามที่ 6 งานเหมาะๆ
ก. คุณมีเป้าหมายเยอะและพยายามทำทุกอย่างสุดๆงานที่ชอบจึงต้องเป็นงานที่ได้แสดงพลังคุณปรารถนา ความสำเร็จอย่างที่สุด
ข. คุณยึดหลักความเป็นจริงในการเลือกอาชีพและมุ่งมั่นจะเติบโตในสายงานที่คุณเลือก
ค. อาชีพที่คุณฝันไว้เป็นไปได้ยากในชีวิตจริงน่าจะมองๆหาอะไรใกล้ตัวทำไปก่อนดีกว่าไม่งั้นอาจเศร้า

คำถามที่ 7 ความสำเร็จมีความหมายแค่ไหน
ก. คุณกลัวล้มเหลวเลยไม่กล้าเริ่มต้นจงอย่าเพิ่งยอมแพ้เสียตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ
ข. คุณมั่นใจว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ เพราะจะไม่มีสิ่งไหนมากั้นขวางคุณได้
ค. ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องใหญ่คุณพอใจในสิ่งที่มีอยู่และชอบที่จะอยู่กับคนที่คุณรักมากกว่าจะทุ่มชีวิตไปกับการงานหรือ
ดำรงตำแหน่งสูง

คำถามที่ 8 คุณกลัวอะไรมากที่สุด
ก. คุณกลัวที่จะไม่มีใครให้พึ่ง หรือกลัวเลี้ยงตัวเองไม่ได้
ข. คุณกลัวในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนคุณก็เลยใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปบ้าง
ค. คุณเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่นเอามากๆ จึงพยายามสุดชีวิตที่จะได้รับการยอมรับจากผู้คนคุณต้องเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองบ้างแล้ว

คำถามที่ 9 ตัวตนของคุณคือ
ก. คุณเป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่าน ซื่อสัตย์ กล้าแสดงความเห็นผู้คนจึงมาขอคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ แต่คุณอาจแย่ถ้าเจอปัญหาที่ต้องใช้หัวใจมิใช่สมอง
ข. คุณต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะชอบอยู่กับความคิดของตัวเองและมักจะแว่บหายยามเข้าตาจน แต่คุณจะรู้สึกดีขึ้นถ้าระบายกับคนที่คุณไว้ใจซะบ้าง
ค. คุณเป็นคนที่เต็มที่กับชีวิตและกล้าแสดงออก แต่เดาอารมณ์ยากและเปลี่ยนความคิดได้เรื่อยๆ บางครั้ง คุณก็เหมือนมหาสมุทรสงบได้แต่ไม่นาน


เป็นยังไงกันบ้างหลังจากได้ดูเฉลยกันไป มีข้อไหนตรงกับลักษณะนิสัยของตัวเองบ้างไหม

บอกกันบ้างนะตรงหรือไม่ตรงยังไง

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แบบทดสอบจิตวิทยา+0+

แบบทดสอบสุขภาพจิต

แบบทดสอบสุขภาพจิตนี้เป็นของ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ สามารถกดลิ้งค์ที่ให้ไว้ได้เลยค๊าฟ

จิิตวิิทยาความรัก:อกหักเจ็บกว่ากระดูกหัก

จิตวิทยาความรัก : อกหัก เจ็บกว่า กระดูกหัก

จิตวิทยาความรัก

อกหักเจ็บหนักกว่ากระดูกหัก นักจิตวิทยาพบ เจ็บช้ำฝังลึกอยู่นาน

นักจิตวิทยาพบว่า คำกล่าวที่ว่า “อกหักไม่ยักตาย” ความจริงอาจจะเบาเกินไป เพราะอกหักเจ็บช้ำฝังลึกยิ่งกว่าบาดเจ็บเพราะกระดูกหักมากกว่ากันนัก

วารสารทางวิชาการ “จิตวิทยา” ของอเมริกา รายงานว่าคณะนักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเปอร์ดิว ที่รัฐอินเดียนา ได้พบในการศึกษาว่า “ในขณะที่แผลใจและแผลกายต่างก็สร้างความเจ็บปวดได้มาก เมื่อเกิดสดๆได้พอๆกัน แต่แผลใจยังจะกลับมาปวดร้าวขึ้นอีกได้หนแล้วหนเล่า ขณะที่แผลกายจะเจ็บปวดอยู่จนกว่าจะหายดีแล้วเท่านั้น”

นักจิตวิทยาได้ศึกษา โดยการเกณฑ์ผู้ที่มาเป็นอาสาสมัคร ให้เขาเขียนระบายประสบการณ์ ความรู้สึกเจ็บปวดในชีวิตให้ฟังโดยละเอียดว่า มันเกิดขึ้นอย่างไร และรู้สึกเจ็บช้ำอย่างไร

จิิตวิทยาความรัก

จิตวิทยาความรัก (Psychology of love)


มีการศึกษาพบว่า ความรักเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้
1. ความใกล้ชิด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความรักขึ้นได้ ดังที่จะพบได้บ่อย ๆ ว่าคนที่ทำงานใกล้ชิดกัน เป็นเพื่อนสนิทกัน ไป ๆ มา ๆ จะกลายเป็นคนรักและแต่งงานกัน เพราะความใกล้ชิดนั้นทำให้คนเรามีโอกาสพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน หรือแม้แต่ช่วยเหลือกันในยามลำบาก

2. ความดึงดูดทางกาย แน่นอนว่าคนที่มีรูปร่างหน้าตาดี นั้นมีโอกาสที่คนจะมาตกหลุมรักได้ง่ายกว่า เพราะคนส่วนใหญ่เองก็คงชอบในความหล่อ สวยงาม รวมถึงเป็นแรงดึงดูดและประทับใจได้ง่ายเวลาที่เจอกันครั้งแรก ๆ ยิ่งในบัจจุบันนี้ที่สังคมมักเน้นไปแต่ความสวยงามทางกาย

3. ความเหมือนกัน แรก ๆ นั้นความเหมือนกันจะดึงดูดให้เราเข้ากันได้ง่าย คนเรามักชอบคนที่มีอะไรเหมือน ๆ กัน เช่น นิสัยคล้าย ๆ กัน รสนิยมเหมือน ๆ กัน ดูหนังแนวเดียวกัน อ่านหนังสือคล้าย ๆ กัน ชอบทำบุญเหมือนกัน เป็นต้น อาจจะมีอยู่บ้างที่แตกต่างหรือตรงข้ามกับตัวเอง


จริง ๆ มีหลายทฤษฏี แต่ในที่นี้ขอยกแนวความคิดของฟรอยด์ (Freud) โดยฟรอยด์กล่าวว่าคนเราเลือกคนรักเพราะ

1. เหมือนพ่อหรือแม่(เพศตรงข้ามกับเรา) เรียกว่า anaclitic love ถ้าเหมือนพ่อหรือแม่เรียกว่าเป็นแบบpositive way มักเป็นในคนที่พ่อหรือแม่ดีเป็นที่ประทับใจ เช่นถ้าเป็นลูกสาว ที่มีพ่อนิสัยดี สุภาพ เอาใจ ก็ย่อมเลือกคนรักที่เหมือนกับพ่อ นอกจากนั้นการเลือกแบบนี้ยังกระตุ้น และระลึกถึงบุคคลสำคัญในอดีตอีกด้วยอีกแนวหนึ่งคือ negative way คือชอบคนที่ไม่เหมือนพ่อหรือแม่ มักเป็นในคนที่พ่อหรือแม่ไม่ได้ดีหรือเป็นที่ประทับใจเท่าไหร่ เช่นลูกชายที่มีแม่จุกจิกขี้บ่น ระเบียบจัด ก็ย่อมอยากได้แฟนที่ตรงกันข้าม (เพราะคงไม่อยากได้แม่คนที่สอง) เป็นต้น

2. เหมือนตัวเราเอง เรียกว่า narcissistic love ถ้าเป็น positive way ก็คือชอบคนที่เหมือน ๆ กับเรา นอกจากการที่เหมือนกันทำให้เข้ากันได้ง่ายแล้ว การรักคนที่เหมือนตัวเองนั้น ยังเป็นการเสริมความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองไปด้วย ถ้าเป็น negative way คือการชอบคนที่ตรงข้ามกับตัวเอง เช่น คนที่เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด อาจจะชอบคนที่ร่าเริง คุยเก่ง สนุกสนาน (เพราะถ้าเงียบเจอเงียบก็คงไม่ต้องพูดกัน ถ้าพูดเก่งเจอพูดเก่งก็ไม่มีใครฟัง)

3.
เหมือนคนในอุดมคติ เรียกว่า ideal love คือชอบคนที่เหมือนที่เราวาดหวังไว้ เช่น ต้องหล่อ รวย หน้าตาดี นิสัยดี ตามใจ สุภาพ ฯลฯ
หากถามว่าความรักอย่างไหนแย่ที่สุด น่าจะเป็น ideal love เพราะ เป็นความรักบนความคาดหวัง
หวังว่าคนรักต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งชีวิตจริงนั้นไม่มีใครเป็นได้อย่างที่เราต้องการทุกอย่าง....


องค์ประกอบของความรัก

ความรักนั้น แสดงออกใน 3 ด้าน คือ ด้านความรู้สึก(affect) ความคิด (cognition) และพฤติกรรมการกระทำ (behavior)

ความรู้สึก : คือรู้สึกว่ารัก ชอบ รู้สึกมีความสุขเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ
ความคิด : คือ การเข้าใจในคนรัก มองเห็นสิ่งดีของคนรัก ยอมรับได้ในสิ่งไม่ดี เห็นคุณค่าความหมาย และให้เกียรติแก่คนที่รัก
พฤติกรรมการกระทำ : คือการปฏิบัติกันอย่างดี การดูแลเอาใจใส่ การพูด การสัมผัส
หลาย ๆ ครั้งปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากการแสดงออกนั้นไม่ไปด้วยกันในแต่ละด้าน เช่น บอกว่ารักแฟนมาก ๆ แต่ไม่เคยทำอะไรให้เลย ไม่เคยช่วยเหลือ ไม่เคยดูแล ทำให้พูดยังไงก็ไม่มีน้ำหนัก ผู้หญิงบางคนแฟนจำไม่ได้ว่ากินข้าวด้วยกันวันแรกร้านไหน โกรธ งอนเอาเป็นเอาตาย ทั้ง ๆ แต่หากมองอย่างใช้ความคิด แฟนก็ดี ดูแล เป็นห่วง ไม่เคยนอกลู่นอกทาง เรียกว่าใช้แต่ความรู้สึก ไม่ได้ใช้ความคิดร่วมด้วย

ระยะของความรัก
พบว่าส่วนใหญ่แบ่งความรักออกเป็นสามระยะ (ในนี้จะอิงทฤษฏีตาม Lasswell เป็นหลัก)

ระยะที่ 1 เรียกว่า Romantic love หรือระยะความรักแบบโรแมนติค หรือบางทีเรียกว่าระยะ fall in love คือระยะช่วงต้นของการเริ่มจีบ จนถึงคบกันใหม่ ๆ ระยะนี้จะเป็นระยะที่มักมีแต่อารมณ์ ใช้แต่อารมณ์ คู่รักจะมองอีกฝ่ายอย่างอุดมคติ อะไรก็ดีไปหมด ชอบอะไรก็ชอบเหมือนกันไปหมด ไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ (หรือเห็นก็ไม่ใส่ใจ) เรียกว่าเกิดการ “idealization” รวมถึงต่างฝ่ายก็มักจะทำตัวดี หันแต่ด้านดี ๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น นิสัยเสียหรือ .... เก็บไว้ก่อน ระยะนี้แล้วแต่คู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี (และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมแฟนกัน ควรคบกับอย่างน้อย 1 ปีก่อนแต่งงาน เพราะจะได้ข้ามไปสู่ระยะที่สองก่อนที่คิดจะผูกพันแต่งงานกัน)

ระยะที่ 2 เรียกว่า Logical - Sensible Love หรือความรักแบบมี เหตุผล หรือบางทีก็เรียกว่า fall out of love คือระยะที่การใช้แต่อารมณ์เริ่มลดลง และเริ่มมีเหตุมีผลมากขึ้น จะเริ่มเห็นความจริงมากขึ้น เห็นข้อเสียของอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ละฝ่ายเริ่มจะหันความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมา นิสัยไม่ดีต่าง ๆ ก็เริ่มเห็นชัดเจนขึ้น เหตุผลต่าง ๆ จะเริ่มมีมากขึ้น เช่น จากที่จนยังไงก็ไม่สน ตอนนี้อาจเริ่มคิด ระยะนี้ส่วนใหญ่จะประมาณ 1-2 ปี ส่วนใหญ่ของคู่รักที่เข้ากันไม่ได้ ยอมรับในข้อบกพร่องของอีกฝ่ายไม่ได้ ปรับตัวไม่ได้ก็จะเลิกกันไป แต่หากยอมรับและปรับตัวกันได้ก็จะดำเนินไปต่อในระยะต่อไป

ระยะที่ 3 เรียกว่า Lifelong friendship คือความรักแบบฉันท์เพื่อน หรือบางทีก็เรียกว่าระยะ maintenance เป็นระยะที่ยอมรับกันได้ในความเป็นตัวเขาตัวเธอ รักกันแบบเหมือนเพื่อนที่รักและสนิทกัน เป็นความผูกพันความรักที่ยาวนาน แม้จะไม่ได้ in love มาก ๆ หรืออารมณ์รักหวานหยดเหมือนระยะแรก แต่ความผูกพันก็ลึกซึ้งและดำเนินคงอยู่อย่างยาวนาน

ระเภทของความรัก
หากกล่าวถึงความรัก คงมีคนแบ่งแยกไว้หลาย ๆ รูปแบบ แต่หากจะแบ่งอย่างกว้าง ๆ ในเรื่องความรัก
นั้นคงแบ่งได้เป็น

Mature love (ความรักอย่างมีวุฒิภาวะ) เป็นความรักของผู้ที่เต็มในตัวเอง มีเหตุมีผล อดทน เป็น active มากกว่า passive (คือเป็นผู้ให้ มากกว่าผู้ที่รอรับ)
Immature love (ความรักอย่างไม่มีวุฒิภาวะ หรือรักแบบเด็ก ๆ ) เป็นความรักของผู้ที่รู้สึกขาด เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง เห็นแต่ความอยาก ความต้องการของตัวเอง ต้องการ”บางสิ่ง” มาเติมเต็มจิตใจตัวเอง

Mature love : I need you because I love you

Immature love : I love you because I need you

“ why isn’t love enough” หากคำว่ารักในประโยคนี้ หมายถึง “อารมณ์รัก” หรือ รักแบบโรแมนติก (romantic love) เพียงอย่างเดียวนั้น ....คงไม่พอ เพราะอารมณ์คนเรานั้นเหมือนคลื่นในทะเล เป็น dynamic มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นรักที่มีพื้นฐานอยู่บนอารมณ์ ก็คงเสมือนการสร้างบ้านบนหาดทราย ย่อมไม่มั่นคง และเสี่ยงต่อการพังทลาย

Mature love นั้นควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

1.
มองเห็นส่วนดีของกันและกัน
แน่นอนว่าคนเรารักกันย่อมมองเห็นในข้อดีของกัน ... แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่ออยู่ไปนาน ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มักหายไป หากชีวิตคุณซึ่ง 20 กว่าปีมาต้องไปไหนมาไหนเองตลอด จู่ ๆ ก็มีคนมารับ แรก ๆ ย่อมรู้สึกดีใจและชื่นชมในตัวเขาอย่างมาก แต่เมื่อผ่าน ไปนาน ๆ แล้วมักกลายเป็นความเฉย ๆ (แต่ไม่มารับแกตาย) .... เรียกว่า จากส่วนดีกลายเป็นเฉย ๆ แต่ไม่ทำจะกลายเป็นข้อเสียทันที

2.
ยอมรับได้ในความแตกต่าง และส่วนไม่ดี
โดยทั่วไป “ความเหมือนจะทำให้เราใกล้กัน แต่ความแตกต่างนั้นจะทำให้เราเติบโต” (“Sameness attract us, difference make us grow” V. Satir) เมื่อรักยังหวานจ๋อย ... เรามักไม่เห็นส่วนไม่ดีของกันและกัน (หรือเห็นก็แกล้งไม่เห็น) แต่นาน ๆ ไปสิ่งเหล่านี้ก็จะเริ่มเห็นมากขึ้น เมื่อเราสามารถยอมรับได้ในความแตกต่างนั้น ไม่ใช่เพียงแต่คู่เราเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ แต่ตัวเราก็จะเติบโต(ทางจิตใจ) มากขึ้น ...
“ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือการรู้ว่ามีคนที่รักเรา รักตัวของเรา
รักทั้ง ๆ ที่เราเป็นอย่างนี้” Victor Hugo

3.
รู้จักขอโทษ และให้อภัย
แน่นอนการอยู่กันย่อมมีทำผิดพลาด ... มีข้อขัดแย้ง สิ่งที่สำคัญคือ ต้องรู้จักขอโทษและให้อภัย การขอโทษไม่ได้หมายความว่าเราต้องผิดเสมอไป ... แต่ขอโทษที่ทำให้ เขา/เธอ ไม่สบายใจ
ทะเลาะกันอย่างสร้างสรรค์ การทะเลาะกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้คุณเอาตู้เย็นเป็นแฟน ซักวันคุณก็อาจไม่พอใจมันได้ แม้มันจะทำงานเหมือนเดิมตลอดก็ตาม นับประสาอะไรกับการอยู่กับคนผู้มีความรู้สึก ..... ให้รู้ว่า “การทะเลาะกัน ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว” เพียงแต่ต้องรู้จัก “ทะเลาะกันเพื่อหาทางออก” เพื่อพยายามแก้ไข มากกว่าเอาชนะกัน การปล่อยผ่าน หนีปัญหา (denial) ถอยห่าง ไม่ช่วยอะไร นอกจากจะทำให้ชีวิตคู่นั้นเสื่อมลง ๆ

4.
มีความรับผิดชอบ (Responsibility)
ความรับผิดชอบนี่ หมายถึง ความรับผิดชอบทั้งในด้าน การเรียน การงาน การเงิน และความรับผิดชอบในฐานะแฟน (สามี/ภรรยา) .... นั่นคือการดูแลกันและกัน รวมถึงซื่อสัตย์ต่อกัน
ความรับผิดชอบนี่มีความสำคัญมาก ... ชีวิตไม่ค่อยจะเหมือนละครหลังข่าวเท่าไหร่ ที่มีคนรักที่ ไม่เรียน งานการไม่ทำ เกเร รับผิดชอบตัวเองยังไม่ได้ .... แล้วหวังว่าเมื่อมีความรัก เขาจะมารับผิดชอบต่อเรานั้น คงเป็นจริงได้ยากในชีวิตจริง .....
กับคำถาม
“คนเราสามารถรักคนสองคนพร้อมกันได้หรือไม่ ?” นั้นคงบอกว่า เป็นไปได้ เพราะความรู้สึกบางครั้งเราห้ามไม่ได้ ... แต่สามารถควบคุมความคิดและการกระทำได้ ความคิดคือรู้ว่ามันไม่เหมาะสม การกระทำคือไม่ทำอะไรที่เกินเลยไปกว่าความรู้สึกดี ๆ สำหรับ แอนนาและแดน มันคงไม่ผิดหากจะรู้สึกรักคนมีคู่แล้ว .... แต่ทั้งคู่นั้นผิดเพราะกระทำเกินเลย และไม่รับผิดชอบต่อชีวิตคู่ของตัวเอง(มากจากหนังแหงๆ จำไม่ได้อ่ะค่ะ)

5.
มีความห่วงใยเอาใจใส่กัน
Harry Stack Sullivan กล่าวว่า “ ความรักเริ่มต้นเมื่อเรารู้สึกว่าความต้องการของอีกคนหนึ่ง สำคัญพอ ๆ กับของตัวเอง” ต้องมีความห่วงใย ใส่ใจ มองเห็น “เรา” มากกว่า “ฉัน” ... หากเรายังมองเห็นแต่ “ฉัน” เพียงอย่างเดียว การอยู่เป็นโสด น่าจะดีกว่า

6.
มีมิตรภาพที่ดี
ความรักไม่ใช่เซเว่น (อีเลเว่น) มันไม่หวานชื่นตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงตลอดไป แต่มิตรภาพที่ดีจะทำให้รักนั้นยั่งยืนต่อไป
และที่สำคัญ มิตรภาพที่ดี ไม่ใช่ “การเป็นเจ้าของ” กันและกัน
แต่ละคนมีความเป็นอิสระตามควร ให้เป็นคนสองคนที่เดินไปเคียงข้างกัน มีเพียงตัวเองที่เป็นเจ้าของตัวเองเท่านั้น การรักด้วยการเป็นเจ้าของ (แบบแดน) คงนำมาเพียงซึ่งความหึงหวง ความอึดอัด และตามมาด้วยความขัดแย้งเท่านั้น

7.
มีความคาดหวังอย่างเหมาะสม
คนเรามักจะ “หวัง” .... โดยลืมไปว่าทุกครั้งที่มีความคาดหวัง มันจะมีคำว่า “ผิดหวัง” แปะติดมาด้วย หลาย ๆ คนมักมีความคาดหวังในคู่อย่างมาก เขาต้องไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืน รายได้มั่นคง ต้องสวีตหวานชื่นตลอด วันเกิดต้องเลี้ยงบนยอดตึก ฯ โดยลืมไปว่าไม่มีใครได้ตามที่หวังไปตลอดหรอก และไม่มีใครสมบูรณ์ perfect ด้วยเช่นกัน กับอีกความคาดหวังหนึ่งคือ ... คาดหวังให้คู่เรา มาเติมเต็มอะไรสักอย่างที่เราขาดไป (บ่อย ๆ มักเป็นความเหงา) โดยหารู้ไม่ว่าการหวังให้ใครมาเติมเต็ม หลุมที่เราขุด ยังไงก็ไม่มีวันเต็ม .... นอกจากเราต้องหยุดที่จะขุด และเติมเต็มมันด้วยตัวเองก่อน ..... ไม่เช่นนั้น นี่คือความคาดหวังบนความผิดหวังโดยแท้

8.
อารมณ์รัก (passion) และ Sex
เอามาเขียนเป็นอันสุดท้าย เพราะเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ (อาจรวมถึงผู้ใหญ่ด้วยมั๊ง) มักเอาไว้เป็นข้อแรก และลืมอ่านข้ออื่น ๆ ..... ไม่ได้บอกว่า sex ไม่สำคัญ ... แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด กับคำถามที่ว่า ความรัก คือ sex รึเปล่า ... คำตอบคงอยู่ในนี้แล้วว่า เป็นส่วนหนึ่งในหลาย ๆ สิ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด


จิตวิทยาทั่วไป:โกหกยากกว่าพูดจริง...รู้มั๊ย


จิตวิทยาทั่วไป

รู้มั๊ยว่าโกหกยากกว่าพูดจริง





พูดโกหกยากกว่าพูดจริง เครื่องจับเท็จใหม่เผยพูดปดต้องใช้เวลาคิด

เครื่องจับเท็จแบบใหม่ พัฒนาโดยนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ของอังกฤษ ทำให้ ทราบว่า การพูดปดนั้นยากกว่าการพูดจริง ต้องใช้เวลานานกว่ากันเฉลี่ยแล้วร้อยละ 30

เครื่องจับเท็จพัฒนาขึ้นโดยอาจารย์ไอเดน เกรกก์ นักจิตวิทยา ช่วยทำให้เกิดความหวังว่า มันคงจะใช้ได้ผลดีกว่ารุ่นที่ใช้กันอยู่ ซึ่งปรากฏว่าเคยหลงเอาคนบริสุทธิ์เข้าปิ้งไปด้วย หลายรายแล้ว “ผมพัฒนาเครื่องนี้ขึ้น เพราะเชื่อว่าอาชญากร เดี๋ยวนี้ ต่างมีหนทางที่จะปิดซ่อนความคิดของตนไว้มากขึ้น”

อาจารย์ไอเดนเปิดเผยว่า ได้เรียนรู้จากการ ทดลองเครื่องใหม่ว่า การพูดโกหกยากกว่าพูดจริง ผู้ที่เข้าทดสอบที่พูดไม่จริง ถึงร้อยละ 85 ต่างต้องใช้เวลาคิดนานกว่าการพูดความจริง

เครื่องจับเท็จแบบใหม่ จะให้ผู้เข้าทดสอบ ตอบคำถาม ซึ่งจะปรากฏขึ้นที่หน้าจอจำนวนหลาย ชุด โดยเร็วที่สุด ด้วยการกดแป้นพิมพ์ เครื่องจะบันทึกเวลาที่ใช้ในการตอบ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์คำตอบอีกทีหนึ่ง